ประกาศแล้ว มรดกโลกแห่งใหม่ 2018 มี โบสถ์คริสต์โนกุบิ เมืองนางาซากิ ด้วยนะ
คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ที่กรุงมานามา ประเทศบาห์เรนประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน ประกาศขึ้นทะเบียนสถานที่สำคัญหลายแห่งในเอเชียให้เป็นมรดกโลก อาทิ
- กำแพงหินเรียงที่แหล่งโบราณคดีธิมลิค โอฮิงกา (Thimlich Ohinga Archaeological)ในเคนยา
- เมืองท่าโบราณคาลฮัต (Ancient City of Qalhat) ในประเทศโอมาน
- โอเอซิส อัล ฮาซา (Al-Ahsa Oasis) ในซาอุดีอาระเบีย
- วัดทั้ง 7 แห่งบนภูเขาซันซา ประเทศเกาหลีใต้ (Seven ancient Korean mountain temples)
- ชุมชนชาวคริสต์ที่ซ่อนเร้นในเมืองนางาซากิที่ประกอบด้วยหมู่บ้าน 10 แห่ง, ปราสาท 1 หลัง และโบสต์โนกุบิ ซึ่งสร้างระหว่างศตวรรษที่ 18-19 (Nokubi Church)
- สถาปัตยกรรมกอทิกและอาร์ต เดโค ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย
- แหล่งโบราณคดีจักรวรรดิแซสซานิด ในจังหวัดฟาร์ส ประเทศอิหร่าน
วันนี้จะขอแนะนำให้แฟนเพจได้ รู้จักกับ โบสต์โนกุบิ (Nokubi Church)และจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์ที่ประเทศญีปุ่นกันค่ะ
โบสถ์คริสต์โนกุบิ
ชุมชนชาวคริสเตียนที่เรียกว่า โนคุบิ ตั้งอยู่บนเกาะโนซากิจิมา (Nozakijima) ทางตอนเหนือของเกาะโกะโตะ ชุมชนชาวคริสต์ที่ในเมืองนางาซากิประกอบด้วยหมู่บ้าน 10 แห่ง, ปราสาท 1 หลัง และโบสถ์โนกุบิ โบสถ์โนกุบิเริ่มก่อสร้างในปี 1907 (2450)และเสร็จในปี 1908 (2451) ในช่วงที่ชนชั้นปกครองญี่ปุ่นห้ามการนับถือศาสนาคริสต์ ชาวญี่ปุ่นที่ถูกจับได้ว่านับถือคริสต์จะต้องถูกนำมาทรมานหรือประหาร ปัจจุบันเกาะแห่งนี้ไม่มีผู้อาศัยอยู่แต่ยังเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา และในปี พ.ศ. 2532 ได้มีการเพิ่มโบสถ์โนกุบิเป็น สถานที่สำคัญทางศาสนาของเมืองนางาซากิ” อีกด้วย
การเดินทางของศาสนาคริสต์สู่ประเทศญี่ปุ่น
กลางศตวรรษที่ 16 ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นมาพร้อมกับบาทหลวงฟรานซิส แซเวียร์จากคณะเยซูอิต เป็นชาวแคว้นนาวาร์ ประเทศสเปน ท่านนำศาสนาคริสต์มาเผยแพร่ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นคนแรกตลอดจนประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย จีน การเผยแพร่ศาสนาของท่านไม่ง่ายเลยต้องเจอกับอุปสรรคจากทางการ เนื่องจากทางการตั้งข้อสงสัยว่า ศาสนาคริสต์จะเข้ามาบั่นทอนอำนาจรัฐและระบอบโชกุนในยุคนั้น จนนำไปสู่การกวาดล้างในช่วงปี 2410 มีบาทหลวงถูกประหารชีวิตไปถึง 26 คน เมื่อกว่า 400 ปีก่อน
เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ญี่ปุ่นได้กลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์ไปโดยปริยาย เมื่อบรรดาชนชั้นปกครอง ตั้งแต่โชกุนไปจนถึงไดเมียว ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ อาจทำให้ประเทศเกิดความสั่นคลอน จึงตัดสินใจกวาดล้างชาวคริสต์และมิชชันนารีทุกคนทั้งด้วยไม้แข็งและไม้อ่อน ทังการฆ่าโดยการเผาทั้งเป็น การทรมารห้อยหัวให้เลือดคั่งสมอง หรือ ให้เหยียบย่ำสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์คือ รูปปั้น ไม้กวางเขนพระเยซู หากใครกระทำการเหยียบย่ำ ก็จะได้รับการไว้ชีวิต (ข้อมูลตรงนี้จากภาพยนตร์เรื่องศรัทธาไม่เงียบ ADMIN ชมแล้ว รู้สึกสะเทือนใจตาม)
เนื่องจากรู้สึกว่าศาสนาใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา นอกจากจะบ่อนเซาะอำนาจปกครองของชนชั้นนำ เพราะถ้าว่ากันด้วยความเชื่อที่สืบทอดกันมาเป็นพันปี ผู้อยู่ในจุดสูงสุดแห่งศรัทธาของชาวญี่ปุ่น ไม่ใช่พระเจ้าหรือพระบุตรแห่งคริสต์ แต่คือองค์จักรพรรดิซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเทพแห่งพระอาทิตย์ นอกจากนี้ ในสายตาของผู้ตรวจการ ศาสนาเก่าที่มีอยู่เดิมก็เหมาะสมกับวิถีของชาวญี่ปุ่นดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้วุ่นวาย การบีบคั้นให้บาทหลวงหลายคนยอมหันหลังให้พระคริสต์และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอื่น บางทีอาจเป็นการตอบโต้ผู้มาใหม่ที่ต้องการกลืนกลายความเชื่อดั้งเดิมของฝ่ายตนด้วยวิถีเดียวกัน
แม้จะมีการกวาดล้างบาทหลวงและชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างหนัก แต่จากการวางรากฐานของนักบุญฟราสซิน ในยุคนั้น ช่วยทำให้อีก 100 ปีต่อมา มีชาวญี่ปุ่นนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมากกว่า 300,000 คน ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่น 1.5% หรือประมาณ 1,500,000 คน ที่นับถือศาสนาคริสต์
ขอขอบคุณภาพ http://blog.livedoor.jp/marre/archives/16539.html